ในโลกของฟุตบอล การเปลี่ยนแปลงไม่เคยหยุดนิ่ง แม้แต่กับทีมที่เพิ่งลิ้มรสความสำเร็จ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ที่เพิ่งคว้าแชมป์ภายใต้การนำของ แอนจ์ พอสเตโคกลู ก็เลือกที่จะเดินบนเส้นทางใหม่ ด้วยการแต่งตั้ง โธมัส แฟรงค์ เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ เสียงสงสัย และความคาดหวังที่เต็มเปี่ยม
การเลือกแฟรงค์เข้ามาคุมทีมไม่ใช่การตัดสินใจที่ไร้เหตุผล หากพิจารณาลึกลงไปถึงสิ่งที่เขาสร้างไว้กับเบรนท์ฟอร์ด ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กุนซือชาวเดนมาร์กคนนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เขาไม่ได้เป็นเพียง “ผู้จัดการทีมจากทีมเล็ก” แต่เป็นสถาปนิกผู้รังสรรค์ความมั่นคง และยกระดับสโมสรเล็กๆ ให้กลายเป็นทีมที่ใครก็ไม่อาจมองข้าม
ตั้งแต่พาเบรนท์ฟอร์ดเลื่อนชั้นขึ้นพรีเมียร์ลีกในปี 2021 แฟรงค์ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารทีมที่มีทรัพยากรจำกัด ให้สามารถต่อกรกับทีมระดับท็อปได้อย่างสม่ำเสมอ การจัดระบบเกมรับที่เหนียวแน่น ผสมผสานกับเกมรุกที่มีประสิทธิภาพสูงในจังหวะสวนกลับ ทำให้เบรนท์ฟอร์ดเป็นหนึ่งในทีมที่สร้างความลำบากใจให้กับคู่แข่งอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเจอแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ลิเวอร์พูล หรืออาร์เซนอล ทีมของแฟรงค์ไม่เคยเล่นแบบกลัว
หนึ่งในจุดเด่นที่สุดของแฟรงค์คือความสามารถในการพัฒนานักเตะและดึงศักยภาพสูงสุดออกมา ตัวอย่างชัดเจนคือ อีวาน โทนี่ย์, บรีย็อง เอ็มเบวโม่ และ เดวิด รายา ที่ล้วนแล้วแต่เติบโตภายใต้การดูแลของเขาจนกลายเป็นชื่อที่ถูกพูดถึงในระดับลีกสูงสุด นอกจากนี้ การใช้ข้อมูลและสถิติอย่างมีระบบก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือของแฟรงค์ที่ทำให้เขาแตกต่างจากผู้จัดการทีมทั่วไป สเปอร์สที่กำลังมองหาความยั่งยืนและเสถียรภาพระยะยาว ย่อมเห็นศักยภาพในตัวกุนซือรายนี้
ในแง่ของสไตล์การเล่น แฟรงค์มักเน้นโครงสร้างทีมที่ชัดเจน ความยืดหยุ่นทางแท็คติก และความสามารถในการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ เขาสามารถพาทีมเล่นเกมรุกแบบบีบพื้นที่สูง หรือถอยลึกแล้วสวนกลับอย่างเฉียบคมก็ได้เช่นกัน ด้วยการจัดทีมที่เน้น “ความสมดุล” มากกว่า “ความหวือหวา” แบบที่สเปอร์สเคยมีในยุคของพอสเตโคกลู แฟรงค์อาจไม่ได้พาแฟนบอลตื่นเต้นทุกเกม แต่เขามีแนวโน้มจะพาทีมเดินบนเส้นทางที่มั่นคง และเต็มไปด้วยวินัย
การเข้ามาของแฟรงค์อาจหมายถึงการปรับทิศทางการเล่นของสเปอร์ส จากฟุตบอลที่เน้นการครองบอลและบุกตลอดเวลาของพอสเตโคกลู มาเป็นฟุตบอลที่สมดุลมากขึ้น มีวินัยในเกมรับ และรอจังหวะโจมตีอย่างชาญฉลาด นักเตะที่มีวินัยสูง และสามารถเล่นได้หลายบทบาทจะได้รับโอกาสมากขึ้น ซึ่งอาจหมายถึงการก้าวขึ้นมามีบทบาทของนักเตะอย่าง ปาเป้ ซาร์ ส่วนผู้เล่นแนวรุกที่เล่นบอลเร็วและมีวินัย เช่น เบรนาน จอห์นสัน และ เดยัน คูลูเซฟสกี้ ก็อาจได้รับบทบาทสำคัญในการเป็นอาวุธหลักในเกมสวนกลับ ขณะที่แดนหน้าหากไม่มีหน้าเป้าเข้ามา แฟรงค์อาจดันให้มีการหมุนเวียนตำแหน่งแนวรุกมากขึ้นในแบบที่เขาเคยทำกับเบรนท์ฟอร์ด
คำถามสำคัญคือ "นี่เป็นดีลที่คุ้มเสี่ยงไหม?" สำหรับทีมที่เพิ่งได้แชมป์ แน่นอนว่าไม่มีแฟนบอลคนไหนอยากเปลี่ยนแปลง แต่วงการฟุตบอลคือโลกที่ความสำเร็จไม่ยืนยาวหากขาดการวางรากฐานที่มั่นคง หากแฟรงค์สามารถนำเอาจิตวิญญาณแบบที่เขาเคยปลูกฝังในเบรนท์ฟอร์ด – ความยืดหยุ่น ความมุ่งมั่น และการเล่นเพื่อทีม – มาต่อยอดในทีมที่มีทรัพยากรมากกว่าและศักยภาพสูงกว่าอย่างสเปอร์สได้ นี่อาจกลายเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง
และถ้าแฟรงค์ทำได้จริง เขาอาจไม่ได้เป็นแค่ “ผู้จัดการทีมใหม่” แต่คือคนที่เขียนประวัติศาสตร์บทใหม่ของไก่เดือยทองก็เป็นได้